สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์ hongkrunan.in.th แหล่งการเรียนรู้ออนไลน์วิชาวิทยาการคำนวณ
สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์ hongkrunan.in.th แหล่งการเรียนรู้ออนไลน์วิชาวิทยาการคำนวณ
หน่วยการเรียนรู้ที่ 6
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. นักเรียนสามารถอธิบายวิธีการปกป้องข้อมูลส่วนตัวได้
2.นักเรียนสามารถวิเคราะห์ผลกระทบจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศได้
3.นักเรียนสามารถอภิปรายวิธีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัยได้
4.นักเรียนสามารถนำสื่อหรือแหล่งข้อมูลไปใช้ให้ถูกต้องตามข้อตกลงการใช้งาน
เทคโนโลยีสารสนเทศหรือไอที (Information Technology : IT) เป็นเครื่องมือและมีบทบาทสำคัญต่อการเรียนรู้ และการใช้ชีวิตประจำวันรวมทั้งสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมต่างๆให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายได้ ในบทนี้นักเรียนจะได้รู้จักวิธีคุกคามรูปแบบต่างๆและแนวทางป้องกันเพื่อให้ใช้งานไอทีได้อย่างปลอดภัย
การใช้งานไอทีโดยการเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดต่อสื่อสาร และเข้าถึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่อยู่ทั่วโลกได้สะดวก และรวดเร็ว แต่ในทางกลับกันถ้าใช้งานไม่ระมัดระวัง ขาดความรอบคอบอาจก่อให้เกิดปัญหาจากการคุกคามการหลอกลวงผ่านเครือข่ายได้
นอกจากนี้การเข้าถึงเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมก็สร้างปัญหาด้านสังคมให้กับเยาวชนจำนวนมาก ดังนั้นการเรียนรู้การใช้งานไอทีได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัยจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
ภัยคุกคามที่มาจากมนุษย์นั้นมีหลากหลายวิธี โดยมีตั้งแต่การใช้ความรู้ขั้นสูงด้านไอทีไปจนถึงวิธีการที่ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้ และความสามารถทางเทคนิค เช่น
1.การคุกคามโดยใช้หลักจิตวิทยา
เป็นการคุกคามที่ใช้การหลอกลวงเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ต้องการโดยไม่ต้องใช้ความรู้ความชำนาญด้านไอที เช่น การใช้กลวิธีในการหลอกเพื่อให้ได้รหัสผ่านหรือส่งข้อมูลที่สำคัญให้ โดยหลอกว่าจะได้รับรางวัลแต่ต้องทำตามเงื่อนไขที่กำหนด
แต่ป้องกันได้โดยให้นักเรียนระมัดระวังในการให้ข้อมูลส่วนตัวกับบุคคลใกล้ชิดหรือบุคคลอื่น
2. การคุกคามด้วยเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม
ข้อมูลและเนื้อหาที่มีอยู่ในแหล่งต่างๆบนอินเตอร์เน็ตมีจำนวนมากเพราะสามารถสร้าง และเผยแพร่ได้ง่าย ทำให้ข้อมูลอาจไม่ได้รับการตรวจสอบความถูกต้องและความเหมาะสม ดังนั้นข้อมูลบางส่วนอาจก่อให้เกิดปัญหากับนักเรียนได้
ตัวอย่างแหล่งข้อมูลและเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม เช่น แหล่งข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรง การยุยงให้เกิดความวุ่นวายทางสังคม การพนัน สื่อลามกอนาจาร เนื้อหาหมิ่นประมาท การกระทำที่ผิดต่อกฎหมายและจริยธรรม
ข้อมูลและเนื้อหาเหล่านี้สามารถเข้าถึงได้ง่ายและยากต่อการป้องกัน เพราะข้อมูลที่ไม่เหมาะสมส่วนใหญ่มักมีเรื่องของผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ดังจะเห็นได้จากการใช้งานแอพพลิเคชั่นเว็บไซต์ และสื่อบางประเภท
นอกจากนี้อาจมีข้อมูลที่ไม่เหมาะสมนั้นปรากฏขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติถึงแม้ว่า แอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์นั้นเป็นของหน่วยงานที่น่าเชื่อถือก็ตาม เช่นเว็บไซต์หน่วยงานราชการ บริษัทชั้นนำ ดังนั้นนักเรียนควรจะใช้วิจารณญาณในการเลือกรับหรือปฏิเสธข้อมูลเหล่านั้น
3. การคุกคามโดยใช้โปรแกรม
เป็นการคุกคามโดยใช้โปรแกรมเป็นเครื่องมือสำหรับก่อปัญหาด้านไอที โปรแกรมดังกล่าวเรียกว่า มัลแวร์ (malicious software : malware) ซึ่งมีหลายประเภทเช่น
1.ไวรัสคอมพิวเตอร์ (computer virus) เป็นโปรแกรมที่เขียนด้วยเจตนาร้าย อาจทำให้ผู้ใช้งานเกิดความรำคาญหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อข้อมูลหรือระบบ โดยไวรัสคอมพิวเตอร์จะติดมากับไฟล์ และสามารถแพร่กระจายเมื่อมีการเปิดใช้งานไฟล์ เช่น ไอเลิฟยู ( ILOVEYOU), เมลิสซา (Melissa)
2.เวิร์ม (worm) หรือที่เรียกกันว่า หนอนคอมพิวเตอร์ เป็นโปรแกรมอันตรายที่สามารถแพร่กระจายไปสู่เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นในเครือข่ายได้ด้วยตนเอง โดยใช้วิธีหาจุดอ่อนของระบบรักษาความปลอดภัย แล้วแพร่กระจายไปบนเครือข่ายได้อย่างรวดเร็ว และก่อให้เกิดความเสียหายที่รุนแรง เช่น โค้ดเรด (Code Red) ที่มีการแพร่ในเครือข่ายเว็บของไมโครซอฟท์ในปี พ. ศ. 2544 ส่งผลให้เครื่องแม่ข่ายทั่วโลกกว่า 2 ล้านเครื่องต้องหยุดให้บริการ
3.ประตูกล (Backdoor/trapdoor) เป็นโปรแกรมที่มีการเปิดช่องโหว่ไว้เพื่อให้ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถเข้าไปคุกคามระบบสารสนเทศ หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านทางระบบเครือข่ายโดยที่ไม่มีใครรับรู้ บริษัทรับจ้างพัฒนาระบบสารสนเทศบางแห่งอาจจะติดตั้งประตูกลไว้ เพื่อดึงข้อมูลหรือความลับของบริษัทโดยที่ผู้ว่าจ้างไม่ทราบ
4.ม้าโทรจัน (trojan horse virus) เป็นโปรแกรมที่มีลักษณะคล้ายโปรแกรมทั่วไปเพื่อหลอกลวงให้ผู้ใช้ติดตั้ง และเรียกใช้งาน แต่เมื่อเรียกใช้งานแล้วก็จะเริ่มทำงานเพื่อสร้างปัญหาต่างๆตามผู้เขียนกำหนด เช่นทำลายข้อมูล หรือล้วงข้อมูลที่เป็นความลับ
5.ระเบิดเวลา (Logic Bomb) เป็นโปรแกรมอันตรายที่จะเริ่มทำงาน โดยมีตัวกระตุ้นบางอย่าง หรือกำหนดเงื่อนไขการทำงานบางอย่างขึ้นมา เช่น App ส่งข้อมูลออกไปยังเครื่องอื่นๆ หรือลบไฟล์ข้อมูลทิ้ง
6.โปรแกรมดักจับข้อมูลหรือ สปาย์แวร์ (Spyware) เป็นโปรแกรมที่แอบขโมยข้อมูลของผู้ใช้ระหว่างใช้งานคอมพิวเตอร์ เพื่อนำไปใช้แสวงหาผลประโยชน์ต่างๆ เช่น เก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานอินเตอร์เน็ตเพื่อนำไปใช้ในการโฆษณา เก็บข้อมูลรหัสผ่านเพื่อนำไปใช้ในการโอนเงินออกจากบัญชีผู้ใช้
7.โปรแกรมโฆษณาหรือแอดแวร์ ( advertising Supported Software : adware) เป็นโปรแกรมที่แสดงโฆษณา หรือดาวน์โหลดโฆษณาอัตโนมัติหลังจากที่เครื่องคอมพิวเตอร์นั้นติดตั้งโปรแกรมที่มีแอดแวร์อยู่ นอกจากนี้แอดแวร์บางตัวอาจจะมี Spyware ที่คอยดักจับข้อมูลของผู้ใช้งานเอาไว้เพื่อส่งโฆษณาที่ตรงกับพฤติกรรมการใช้งาน ทั้งนี้อาจจะสร้างความรำคาญให้กับผู้ใช้งาน เนื่องจากโฆษณาจะส่งมาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ผู้ใช้ไม่ต้องการ
8.โปรแกรมเรียกค่าไถ่ (ransomware) เป็นโปรแกรมขัดขวางการเข้าถึงไฟล์ข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือด้วยการเข้ารหัส จนกว่าผู้ใช้จะจ่ายเงินให้ผู้เรียกค่าไถ่ จึงจะได้รับรหัสผ่านเพื่อที่จะสามารถใช้งานไฟล์นั้นได้ เช่น คริปโตล็อกเกอร์ (Crypto Locke)ในปี พ.ศ. 2556 ที่มีการเผยแพร่กระจายไปทุกประเทศทั่วโลกผ่านไฟล์แนบในอีเมล และ วันนาคราย (WannaCry) ในปี พ.ศ. 2560 ที่แพร่กระจายได้ด้วยวิธีเดียวกับเวิร์ม
แนวคิดหนึ่งที่ใช้สำหรับการป้องกันภัยคุกคามด้านไอที คือการตรวจสอบ และยืนยันตัวตนของผู้ใช้งานก่อนการเริ่มต้นใช้งาน การตรวจสอบเพื่อยืนยันตัวตนของผู้ใช้งานสามารถดำเนินการได้ 3 รูปแบบดังนี้
1.ตรวจสอบจากสิ่งที่ผู้ใช้รู้
เป็นการตรวจสอบตัวตนจากสิ่งที่ผู้ใช้งานรู้แต่เพียงผู้เดียว เช่น บัญชีรายชื่อผู้ใช้กับรหัสผ่านการตรวจสอบวิธีนี้เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมสูงสุด เนื่องจากเป็นวิธีที่ง่าย และระดับความปลอดภัยเป็นที่ยอมรับได้หากนักเรียนลืมรหัสผ่าน สามารถติดต่อผู้ดูแลเพื่อขอรหัสผ่านใหม่
2.ตรวจสอบจากสิ่งที่ผู้ใช้มี
เป็นการตรวจสอบตัวตนจากอุปกรณ์ที่ผู้ใช้งานต้องมี เช่น บัตรสมาร์ตการ์ด โทเก้น อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบวิธีนี้มีค่าใช้จ่ายในส่วนของอุปกรณ์เพิ่มเติม และมักมีปัญหาคือ ผู้ใช้งานมักลืมหรือทำอุปกรณ์ที่ใช้ตรวจสอบหาย
3.ตรวจสอบจากสิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของผู้ใช้
เป็นการตรวจสอบข้อมูลชีวมาตร(biometrics) เช่น ลายนิ้วมือ ม่านตา ใบหน้า เสียง การตรวจสอบนี้ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดแต่มีค่าใช้จ่ายที่สูง เมื่อเปรียบเทียบ กับวิธีอื่น และต้องมีการจัดเก็บลักษณะเฉพาะของบุคคล ซึ่งมีผู้ใช้บางส่วนอาจจะเห็นว่าเป็นการละเมิดสิทธิ์ความเป็นส่วนตัว
การกำหนดรหัสผ่านเป็นที่การตรวจสอบตัวตนที่นิยมมากที่สุดเนื่องจากว่าเป็นวิธีที่ง่ายและค่าใช้จ่ายต่ำเมื่อเทียบกับวิธีอื่น สิ่งที่ควรคำนึงถึงในการกำหนดรหัสผ่านให้มีความปลอดภัยมีดังนี้
• รหัสผ่านควรตั้งให้เป็นไปตามเงื่อนไขของระบบที่ใช้งาน รหัสผ่านที่ควรประกอบด้วยตัวอักษรตัวใหญ่ ตัวเล็ก ตัวเลข และสัญลักษณ์ เช่น Y1nG@# !z หรือ @uG25sx*
• หลีกเลี่ยงการตั้งรหัสผ่านโดยใช้วัน เดือน ปีเกิด ชื่อผู้ใช้ ชื่อจังหวัด ชื่อตัวละคร ชื่อสิ่งของต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง หรือคำที่มีอยู่ในพจนานุกรม
• ตั้งให้จดจำได้ง่าย แต่ยากต่อการคาดเดาด้วยบุคคลหรือโปรแกรม เช่น สร้างความสัมพันธ์ของรหัสผ่านกับข้อความหรือข้อมูลส่วนตัวที่คุ้นเคย เช่น ตั้งชื่อสุนัขตัวแรก แต่เขียนตัวอักษรจากหลังมาหน้า
• บัญชีรายชื่อผู้ใช้แต่ละระบบ ควรใช้รหัสผ่านที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะบัญชีที่ใช้เข้าถึงข้อมูลที่มีความสำคัญ เช่น รหัสผ่านของบัตรเอทีเอ็มหลายใบให้ใช้รหัสผ่านต่างกัน
• ไม่บันทึกรหัสแบบอัตโนมัติบนโปรแกรมบราวเซอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ร่วมกับผู้อื่นหรือเครื่องสาธารณะ
• ไม่บอกรหัสผ่านของตนเองให้กับผู้อื่นไม่ว่ากรณีใดๆ
• หมั่นเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นประจำอาจจะทำทุกๆ 3 เดือน
• หลีกเลี่ยงการบันทึกรหัสผ่านในกระดาษสมุดโน้ตรวมทั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้วยหากจำเป็นต้องบันทึกก็ควรจัดเก็บไว้ในที่ปลอดภัย
• ออกจากระบบทุกครั้งเมื่อเลิกใช้บริการต่างๆ บนอินเตอร์เน็ต
การใช้งานไอทีเป็นเรื่องใกล้ตัวของทุกคน อย่างไรก็ตามการใช้งานไอทีอาจส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งาน ดังนั้นการเรียนรู้ การทำความเข้ใจเงื่อนไขการใช้งานจึงเป็นสิ่งสำคัญ
การศึกษาเงื่อนไขการใช้งาน
การใช้งานไอทีในปัจจุบันมีทั้งแบบมีค่าใช้จ่ายและไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ทุกระบบที่ให้บริการมีการกำหนดเงื่อนไขในการใช้งานทั้งสิ้น เว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นต่างๆที่ให้บริการจะมีการแจ้งเงื่อนไขการติดตั้งและใช้งานให้ผู้ใช้ทราบก่อนเสมอ อาจรวมถึงค่าใช้จ่ายในการใช้งานซึ่งชำระด้วยเงินหรือต้องกรอกข้อมูลหรือตอบคำถามเป็นการแลกเปลี่ยน ข้อกำหนดที่ต้องรับโฆษณาในช่วงของการใช้งาน การอนุญาตผู้ให้บริการเข้าถึงภาพถ่ายหรือข้อมูลรายชื่อที่อยู่ใน smartphone ของผู้ใช้ ดังนั้นนักเรียนควรอ่านและทำความเข้าใจเงื่อนไขก่อนการติดตั้งและใช้งาน
นักเรียนจะทราบได้อย่างไรว่าซอฟต์แวร์ ผลงาน หรือสื่อต่างๆ ที่มีอยู่จำนวนมากในอินเตอร์เน็ต สามารถนำมาใช้งานได้อย่างถูกต้อง
เงื่อนไขการใช้งาน อาจจะถูกกำหนดด้วยข้อตกลงในลักษณะต่างๆ เช่น
ลิขสิทธิ์ (Copyright) โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เนื้อหา หรือสื่อต่างๆ ส่วนใหญ่มีลิขสิทธิ์คุ้มครอง ทำให้ผู้ใช้หรือผู้ซื้อไม่สามารถที่จะนำไปเผยแพร่ ทำสำเนาต่อโดยที่ไม่รับอนุญาตจากผู้สร้างสรรค์ผลงาน เช่น ผู้ใช้ที่ซื้อโปรแกรมประยุกต์มาใช้งานส่วนตัว ลิขสิทธิ์ที่ได้คือ การติดตั้งและใช้งานโปรแกรมประยุกต์นั้นได้ แต่ไม่สามารถทำสำเนาและแจกจ่ายให้ผู้อื่นได้
สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ (creative commons) การใช้งานไอทีหรืองานต่างๆ ที่มีลิขสิทธิ์คุ้มครองอาจจำเป็นต้องมีค่าใช้จ่าย ซึ่งทำให้เกิดปัญหาและปิดโอกาสในการเรียนรู้ องค์กรครีเอทีฟคอมมอนส์ จึงพัฒนาสัญญาอนุญาตที่ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานและเผยแพร่ผลงานภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและยังเป็นการเพิ่มโอกาสการเรียนรู้ แต่ยังคงไว้ซึ่งผลประโยชน์และการรับรู้เจ้าของผลงาน
ข้อกำหนดในการใช้ผลงานต่างๆ จะแทนด้วยสัญลักษณ์ เช่น
ความเป็นส่วนตัว (privacy) เป็นสิทธิพื้นฐานที่สำคัญของมนุษย์ทุกคนความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและสารสนเทศ เจ้าของสามารถปกป้องและควบคุมการเปิดเผยข้อมูลของตนเองให้กับผู้อื่นและสาธารณะได้ โดยเจ้าของสิทธิ นอกจากจะเป็นบุคคลแล้วอาจเป็นกลุ่มบุคคลหรือองค์กรก็ได้
การเข้าถึงข้อมูลในเอกสารหรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัว เช่น เว็บไซต์หรือ แอปพลิเคชันบางตัวที่ติดตามความเคลื่อนไหว หรือพฤติกรรมของผู้ใช้งานเพื่อเรียนรู้พฤติกรรมสำหรับปรับปรุงคุณภาพการให้บริการ หรือการวางแผนการตลาด
นอกจากการถูกละเมิดความเป็นส่วนตัวจากผู้อื่นแล้ว ผู้ใช้อาจยินยอมที่จะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของตนเอง เนื่องจากการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จะก่อให้เกิดปัญหาในอนาคตและยากต่อการกลับมาแก้ไข
นักเรียนจะปกป้องข้อมูลส่วนตัวได้อย่างไรบ้าง
• ใส่ใจให้มากขึ้น ต้องอ่านข้อตกลงและเงื่อนไขให้เข้าใจ หรือติดตั้งโปรแกรม ว่ามีเงื่อนไขในการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวหรือไม่
• ตึกตรองให้รอบคอบ ก่อนเปิดเผยข้อมูลและกิจกรรมส่วนตัว หรือแชร์ข้อมูลผู้อื่น ผ่านทางสังคมออนไลน์ ต้องถามตัวเองทุกครั้งว่า การเปิดเผยสิ่งเหล่านั้นจะส่งผลกระทบอย่างไรทั้งในปัจจุบันและอนาคต
การใช้งานไอทีเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ และส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้งานไอทีผ่านสมาร์ทโฟนที่มักมีแอพพลิเคชั่นจำนวนมาก ให้เลือกติดตั้งได้ฟรีภายใต้เงื่อนไขบางประการ ซึ่งหลายคนมักละเลยในการอ่านเงื่อนไขเหล่านี้ การใช้ไอทีอย่างปลอดภัยนั้นผู้ใช้งานจำเป็นต้องเข้าใจในประเด็นต่างๆ ดังนี้
• ศึกษาเงื่อนไขและข้อตกลง ก่อนการติดตั้งหรือใช้งานไอที
• มีความรู้ความเข้าใจ และความสามารถในการใช้ไอที เพื่อให้ใช้งานได้อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ
• ไม่ใช้บัญชีผู้ใช้ร่วมกับผู้อื่น เนื่องจากไม่สามารถควบคุมความปลอดภัยได้ และเสี่ยงต่อการรั่วไหลของรหัสผ่านและข้อมูลส่วนตัว
• สำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ และเก็บไว้หลายแหล่ง โดยเมื่อมีเหตุการณ์ที่ทำให้ไฟล์ข้อมูลเสียหาย เช่น ข้อมูลโดนไวรัสทำลาย เครื่องคอมพิวเตอร์เสียหาย สามารถนำข้อมูลที่สำรองไว้มาใช้งานได้
• ติดตั้งซอฟต์แวร์เท่าที่จำเป็น และไม่ติดตั้งโปรแกรมที่ดาวน์โหลดจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ เพื่อป้องกันมัลแวร์ที่แฝงมากับโปรแกรม
• เข้าใจกฎ กติกา และมารยาททางสังคมในการใช้งานไอที ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการใช้งานไอที เพราะจะช่วยป้องกันปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่ตั้งใจ เช่น การเรียนรู้การใช้อักษรย่อ การใช้สัญลักษณ์ต่างๆ
• หลีกเลี่ยงการใช้งานเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมหรือไม่แน่ใจว่าเป็นของหน่วยงานใด
• ปรับปรุงระบบปฏิบัติการและโปรแกรมต่างๆให้ทันสมัยอยู่เสมอ เช่น โปรแกรมแก้ไขจุดบกพร่องของระบบปฏิบัติการที่เรียกว่า อัพเดท หรือ แพทช์ โปรแกรมป้องกันไวรัส ซึ่งโปรแกรมจะมีการเพิ่มเติมความสามารถในการป้องกันไวรัสใหม่ๆ ทำให้อุปกรณ์และข้อมูลใช้งานได้อย่างปลอดภัย
• สังเกตสิ่งผิดปกติที่เกิดจากการใช้งาน เช่น มีโปรแกรมแปลกปลอมปรากฏขึ้นได้รับอีเมลจากคนที่ไม่รู้จัก หรือเข้าเว็บไซต์ที่คุ้นเคยแต่มีบางส่วนของ URL หรือหน้าเว็บที่เปลี่ยนไป ให้ตรวจสอบและหาข้อมูลเพิ่มเติม จนกว่าจะมั่นใจก่อนการใช้งาน
• ระวังการใช้งานไอทีเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ เช่น ไม่เชื่อมต่อไวไฟโดยอัตโนมัติ ไม่จดจ่อใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว ซึ่งอาจตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพหรือทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
การใช้งานไอทีอย่างสร้างสรรค์ คือ การใช้งานไอทีให้เกิดประโยชน์อย่างเหมาะสม ผู้ใช้จำเป็นต้องมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ เพราะไอทีช่วยให้เข้าถึงข้อมูลและเนื้อหาจำนวนมากอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นนักเรียนต้องสามารถวิเคราะห์ เนื้อหา และสิ่งต่างๆ ที่ได้รับว่า มีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใดเพื่อคัดกรองและนำไปใช้ประโยชน์อย่างสร้างสรรค์และมีคุณค่า เช่น ใช้ไอทีในการติดตามและรับรู้ข่าวสารต่างๆ รวบรวมและสรุปความรู้ให้กับเพื่อนๆ ผ่าน Facebook ฝึกเขียนโปรแกรมเพื่อพัฒนาตนเอง